บูโรพุทโธ และ ปรัมบานัน : ศาสนสถานที่โลกต้องตะลึง
บูโรพุทโธ พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เจดียบูโรพุทโธ หรือ จันทิโบโรบูโด
จันทิโบโรบูโด (Candi Borobudur) เป็นคำเรียก บูโรพุทโธ ของคนอินโดนีเซีย "จันทิ" นี้มีความหมายว่า วัด เจดีย์ หรือวิหาร ที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นเมื่อเราไปเที่ยวอินโดนีเซีย เราจึงควรเรียกวัดว่า "จันทิ" Candi ทับศัพท์แทน Temple จะเป็นที่เข้าใจของชาวบ้านทั่วไปได้ดี ในขณะที่คำว่า "เจดีย์" ของคนอินโดนีเซีย จะหมายถึง สถานที่ทางศาสนาขนาดเล็ก ที่ใช้สำหรับครอบครัว ตระกูล หรือภายในหมู่บ้านเล็กๆ
จันทิโบโรบูโด เป็นพุทธสถานโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ.1323-1393 (ก่อนนครวัดราว 300 ปี) โดยการอุปถัมภ์ของกษัตริย์ราชวงศ์ไศเรนทร (คำว่า “ไศเรนทรา” แปลว่า เจ้าแห่งขุนเขา)
พุทธสถานแห่งนี้ไม่ได้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แต่สร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงศรัทธาในพุทธศาสนาแบบมหายาน และเป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์ไว้ที่ฐานชั้นต้นๆ โบโรบูโดจึงเป็นการโยงปูขนียสถานในพระพุทธศาสนาเข้ากับการบูชาบรรพบุรุษตามธรรมเนียมของคนตะวันออก
คำว่า บูโรพุทโธ หรือ โบโรบูโด “Borobudur” มีผู้ตีความไว้หลายนัย
ศ. Purvotjaroko ตีความว่า “โบโรบุดุร์” เป็นคำผสมระหว่าง “บะระ” กับ “บุดุร์” ซึ่ง บะระ (Bara) เพี้ยนมาจากคำฺ bihar หรือ "วิหาร" ในภาษาสันสกฤต (เช่นในอินเดียมีรัฐพิหาร หมายถึงรัฐที่มีวิหารมาก) และในที่สุดกลายเป็น “เบียระ” ส่วน “บุดุร์” เป็นชือของหมู่บ้านที่อยู่ติดกันไปทางใต้ โดยนัยนี้ “โบโรบุดุร์” จึงหมายความว่า “วิหารที่ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้านบุดร์”
ดร.กรอม (Krom) กล่าวว่า “โบโรดุร” มาจากคำว่า “บะระ+พุทธ”
ดร.สตัทเตอไฮม์ (Statterheim) สันนิษฐานว่า “บุดุร” มาจาก “บุดิว” (Buddue) ในภาษา มีนังกะบัว (Minangeban) ซึ่งแปลว่า เด่น ยื่นออกมา ฉะนั้น “โบโรบุดุร์” โดยนัยนี้ จึงแปลว่า “วิหารที่เด่นอยู่บนยอดเขา”
อีกด้านหนึ่งว่ามาจากสำเนียงท้องถิ่นชวาเดิมว่า Biara Beduhur ที่ผสมกันขึ้นจากสองคำ คือ "Biara" ในภาษาถิ่นเดิม หมายถึงวัดหรือวิหาร ซึ่งก็มีรากมาจาก "พิหาร" ในภาษาสันสกฤตเช่นกัน ต่อมา "ฺBiara" ก็แปลงเป็น “Boro" ส่วน “Beduhur" ในภาษาบาหลี ที่หมายถึงภูเขา ก็กลายเป็น "ฺBudo" โดยนัยนี้ “บุโรพุทโธ” จึงหมายถึง วัดที่สร้างบนภูเขา
โดยรวมๆ แล้วโบโรบูโด จึงเกี่ยวข้องกับความหมายของ "วัด" และ "ภูเขา" สอดคล้องกับนามของผู้สร้าง ราชวงศ์ไศเรนทร ที่แปลว่า เจ้าแห่งภูเขา แต่อันที่จริง โบโรบูโด สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นพื้นที่ลุ่ม ในอดีต เมื่อฤดูน้ำหลากจะถูกล้อมรอบด้วยน้ำที่ท่วมขังมาจากแม่น้ำโปรโก ดังนั้น เมื่อมองจากที่ไกล หรือมองลงมาจากที่สุูง จึงเห็นโบโรบูโดเปรียบเสมือนดอกบัวขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบ
สถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งของบูโรพุทโธ
บูโรพุทโธ มีความสูงก่อนบูรณะอยู่ที่ 42 เมตร และเมื่อบูรณะแล้วเหลือเพียง 34.5 เมตร หากมองจากที่สูงทางอากาศ บุโรพุทโธมีลักษณะเป็น “mandara” (มณฑล) ตามคติพุทธมาหายาน และตันตระยาน บุโรพุทโธ ในทางมหายานจึงเป็นสัญลักษณ์ของ “จักรวาล” และอำนาจของ “พระอาทิพุทธเจ้า” โดยพระเจดีย์องค์ใหญ่บนยอดสูงสุดนั้นแทนองค์ “พระอาทิพุทธเจ้า” ที่ทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
ถ้ามองจากพื้นดินในระยะไกล บูโรพุทโธ คือ สถูปขนาดใหญ่ มีฐานสี่เหลี่ยมรองรับองค์สถูปและยอดสถูป หากเมื่อมองใกล้เข้ามาจะเห็นได้ชัดขึ้นว่าบุโรพุทโธมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม 2 แบบ คือ ส่วนบนเป็นองค์สถูป ตั้งอยู่บนลานวงกลม 3 ชั้นลดหลั่นขึ้นไป ได้รับอิทธิพลแบบคุปตะอินเดีย ส่วนด้านล่างเป็นรูปแบบปิรามิดขั้นบันได มีลานสี่เหลี่ยม เป็นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบชวาโบราณที่เรียกว่า “punden berundak ”
ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์โครงสร้างของบูโรพุทโธ พบว่ามีลำดับการสร้างอยู่ถึง 5 ขั้นในช่วงเวลาเกือบ 80 ปีของการก่อสร้าง
- ขั้นแรกสุด เป็นการสร้างฐาน 3 ชั้นบนเนินดินเก่าที่เป็นขั้น ๆ อยู่เดิม สันนิษฐานกันว่าในสมัยโบราณอาจเป็นที่สำหรับทำพิธีบูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ การใช้ที่เดียวกันนี้สร้างบุโรพุทโธขึ้นในกาลต่อมานั้น อาจเพราะเล็งเห็นว่าเป็นบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วก็ได้
- ขั้นที่สองมีการเปลี่ยนแปลงบันไดทางขึ้นและขยายฐานให้กว้างขึ้น รวมทั้งสร้างชั้นสูงขึ้น คือชั้นที่มีฐานสี่เหลี่ยม 2 ชั้นและฐานวงกลมข้างบนอีกหนึ่งชั้น
- ขั้นที่สามมีการดัดแปลงเพิ่มเติม โดยรื้อฐานวงกลมชั้นบนนั้นออก และสร้างฐานวงกลม 3 ชั้นสูงลดหลั่นขึ้นไปแทน นอกจากนี้มีการสร้างเจดีย์บนยอดสุดขึ้นในช่วงนี้ด้วย
- ส่วนขั้นที่สี่และห้ามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยซึ่งรวมถึงให้มีการแกะสลักลายนูน และสร้างขั้นบันใดและทางเข้ารูปโค้ง เป็นที่สังเกตกันว่า แม้มีการดัดแปลงต่อเติมโครงสร้างของบุโรพุทโธดังกล่าว แต่สัญลักษณ์สำคัญยังคงอยู่ที่องค์เจดีย์ชั้นบนสุด ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ที่อยู่ตามชั้นต่างๆ ลงมานั้นเป็นส่วนประกอบเพื่อสื่อความหมายของบุโรพุทโธนั่นเอง
วัสดุที่ใช้ในการสร้างบูโรพุทโธ
บูโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านก้อน สกัดจากหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำโปรโก ลากมาสู่ที่ก่อสร้างด้วยแรงม้าและช้าง มหาสถูปมีระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ลดหลั่นไป มีการตกแต่งด้วยภาพสลักที่ชั้นที่ 2 และ 3 แยกเป็นภาพสลักนูนต่ำ 1460 ภาพและแผ่นภาพแกะ (panel) สำหรับประดับ 1212 แผ่น ส่วนที่ฐานล่างอีก 160 ภาพ และ รูปปั้นพระพุทธรูป 504 องค์ พระพุทธรูปแต่ละองค์นั่งอยู่ภายในสถูปเจาะรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด รอบล้อมสถูปเจดีย์ประธาน
เมื่อมองดูรูปภายนอกของบุโรพุทโธ อาจเห็นการแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เรื่องนี้ ดร.สตัทเตอร์ไฮม์ ได้สันนิษฐานว่า การที่แบ่งพุทธวิหารแห่งนี้ออกเป็น 3 ตอนนั้น ช่างใกล้เคียงต่อศรัทธาของชาวพุทธที่แบ่งวิถีชีวิตออกเป็น 3 ชั้น
สัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในบูโรพุทโธ
- การเดินชมภาพสลักของบูโรพุทโธ ให้เดินตามเข็มนาฬิกา
- ระดับแรก เป็นกลุ่มชั้นฐานที่มีภาพสื่อความหมายถึงการที่มนุษย์ยังเกาะเกี่ยวอยู่กับกิเลส ตัณหา และการเวียนว่ายตายเกิด เรียกว่าชั้น “กามธาตุ” ชั้นนี้มีภาพสลักที่น่าสนใจอยู่ถึง 160 ภาพ เป็นการเล่าเรื่อง “บาป บุญ คุณโทษ และกฎแห่งกรรม”
- ระดับที่สอง คือกลุ่มชั้นของ “รูปธาตุ” แสดงถึงการที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลส ทางโลกได้บ้าง แต่ก็ยังมีส่วนที่ยึดติดกับทางโลกอยู่ กลุ่มนี้มีอยู่ 5 ชั้น แต่ละชั้นมีทางเดินรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังทั้งสองด้านที่ขนาบทางเดินสลักเป็นเรื่องชาดก พุทธประวัติ และพระโพธืสัตว์มหายาน โดยรอบทุกชั้นมีซุ้มพระพุทธรูปรวมทั้งสิ้น 432 องค์ เป็นปางต่างกัน กล่าวคือ ชั้นที่ 1-3 ด้านตะวันออกเป็นปางภูมิผัสรา ด้านใต้เป็นปางอภัยมุทราและประทานพร ด้านตะวันตกเป็นปางสมาธิ ด้านเหนือเป็นปางแห่งความกล้าหาญ ส่วนชั้นที่ 4 และ5 เป็นปางแสดงเทศนาโดยรอบ
- ระดับที่สาม คือกลุ่มชั้นของ “อรูปธาตุ” มี 3 ชั้น มีทางเดินเป็นวงกลมโดยรอบ แต่ละชั้นมีเจดีย์ครอบองค์พระพุทธรูปและพระโพธิ์สัตว์เรียงรายอยู่ ชั้นที่ 6 มี 32 องค์ /ชั้นที่ 7 มี 24 องค์ / ชั้นที่ 8 มี 16 องค์ แต่ละองค์มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.4-3.8 เมตร และสูง 3.5-3.75 เมตร ลานวงกลมชั้นล่างมีเจดีย์ 32 องค์ ชั้นกลาง 24 องค์ และชั้นบน 16 องค์ สำหรับรูปสลักนูนต่ำที่ขั้นอรูปธาตุนี้แสดงถึงพุทธประวัติ
- ระดับสูงสุด มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่กว่าทั้งหมดอยู่ตรงกลาง ทรงระฆังคว่ำ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เมตร สูง 35 เมตร (จากระดับพื้นที่ราบ) เป็นเจดีย์ทึบหนา ไม่มีพระพุทธรูปหรือสิ่งใดบรรจุอยู่ภายใน จากการเดินทางมาของ ศ จำนงค์ ทองประเสริฐ เมื่อปี พ.ศ. 2502 บันทึกว่ายอดหักไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อตอน พ.ศ.2443 ทราบว่ายังมียอดสมบูรณ์อยู่ แล้วถูกฟ้าผ่าในปีนั้นเอง เจดีย์ได้รับความเสียหายอีกครั้งเมื่อถูกระเบิดโดยกลุ่มหัวรุนแรงเมื่อปี พ.ศ.2530 ความหมายของชั้นนี้ เป็นชั้นของการปฏิบัติขั้นสูงหลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา ทั้งปวง
ตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับบูโรพุทโธ
เป็นที่สังเกตว่าเจดีย์บนลานวงกลม 2 ชั้นล่าง มีช่องเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนมเปียกปูน ส่วนลานวงกลมชั้นบนสุด เป็นช่องรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ตีความกันว่าเป็นชั้นสูงสุดหลังการหลุดพ้นแล้ว มีตำนานว่า ถ้าเราสามารถเอื้อมมือเข้าไปในเจดีย์บนลานวงกลม ชั้น 2 ที่อยู่ใกล้บันใดทิศตะวันออก โดยผู้หญิงสามารถแตะพระบาท หรือผู้ชายแตะพระหัตถ์ของพระพุทธรูปที่อยู่ภายในได้ จะทำให้ความปรารถนาหรือการอธิษฐานเป็นจริง
ทางขึ้นบุโรพุทโธมีทั้ง 4 ด้าน ดูเหมือนกันทุกด้าน ไม่สามารถบอกได้ว่าด้านใดคือด้านหน้า แต่เมื่อพิจารณารูปแกะลายนูนที่อยู่จากชั้นล่างสุดขึ้นมา เป็นเรื่องราวที่เริ่มจากด้านตะวันออกก่อน จึงควรเดินขึ้นบูโรพุทโธทางด้านตะวันออก จากชั้นล่างขึ้นไปสู่ชั้นสูงสุดให้เดินเวียนทักษิณาวัตร บันใดขึ้นสู่แต่ละชั้นอยู่ต่อกันทุกชั้นไปจนถึงองค์สถูปบนยอด ที่ฐานบันใดแต่ละชั้น มีประตูรูปโค้งที่มีรูปหน้ากาลอยู่บนยอดและแผ่นหินแกะสลักเป็นลวดลายตามขอบ นอกจากนี้มีรูปปั้นสิงโตตั้งคู่อยู่หน้าบันไดราวเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองผู้ที่จะเดินผ่านขึ้นไป ทั้งนี้ ตามความเป็นจริงนั้นไม่มีเคยสิงโตอยู่ในเกาะชวา แต่สิงโตคือสัญลักษณ์ของอาณาจักรแห่งเจ้าชายสิทธัตถะในสมัยพุทธกาล
เรื่องราวการทิ้งร้างของบูโรพุทโธ
ข้อสันนิษฐานเรื่องการร้างของบูโรพุทโธมีหลายทาง แต่ที่น่าเชื่อว่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ถูกทิ้งร้างไปในช่วง ค.ศ. 928-1006 จากการที่กษัตริย์ Mpu Sindok ทรงย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรเมดัง หรือ มะตะรัม ไปที่ชวาตะวันออก หลังจากเกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นหลายครั้ง ต่อมาองค์เจดีย์ก็ถูกเถ้าภูเขาไฟถมทับ ป่ารกทึบขึ้นบดบัง จนราว ค.ศ. 1814 Sir Thomas Stampford Raffles ผู้ปกครองชวาชาวอังกฤษ (อังกฤษปกครองระหว่างปี ค.ศ. 1811-1816) มีความสนใจในโบราณวัตถุและศิลปะของชวาอย่างยิ่ง เขาได้เดินทางสำรวจไปทั่วเกาะ และได้ยินว่ามีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อยู่ในป่าทึบ เขาได้ส่งวิศวกรชาวดัทช์ และคนงานอีก 200 คน เข้าถางป่า จึงได้พบเจดีย์บุโรพุทโธ เขาได้รายงานไปยังอังกฤษ ข่าวนี้จึงแพร่ออกไปแต่ก็ยังไม่มีการขุดค้นอย่างจริงจัง เจดีย์ยังจมอยู่ในกองเถ้าภูเขาไฟ
หลังจากนั้นมีผู้ปกครองชาวดัทช์ในเขต Kedu (ดัทช์ค่อยขยายอิทธิพล และขจัดอำนาจของยุโรปชาติอื่นออกไป) ชื่อ Hartmann เขามีความสนใจบูโรพุทโธโดยส่วนตัว จึงทำการขุดต่อไป จนกระทั่งปี ค.ศ. 1835 การขุดก็สำเร็จ เจดีย์ทั้งองค์ปรากฏขึ้น แต่เขาไม่ได้รายงานสิ่งที่พบไปยังทางการดัทช์ การสำรวจของเขาจึงไม่เป็นที่แพร่หลาย ต่อมารัฐบาลฮอลันดาได้ส่งวิศวกรเข้ามาสำรวจอย่างเป็นทางการ ผลสำรวจได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1873
น่าอนิจจา ชิ้นส่วนงานศิลปะของบุโรพุทโธ ถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการ และของที่ระลึก หลายชิ้นถูกส่งไปให้ประเทศต่างๆ และในครั้งที่รัชกาลที่ 5 ของสยาม เสด็จฯเยือนเมื่อปี ค.ศ. 1896 ก็ได้รับอนุญาตให้นำเอาประติมากรรมและภาพสลัก 8 คันเกวียนกลับมาไทยด้วย ประกอบด้วยภาพแกะสลักประดับผนัง 30 ชิ้น พระพุทธรูป 5 องค์ สิงห์ 2 ตัว เศียรสัตว์ประหลาด 1 หัว ทวารบาล 1 ตน ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ
บทความเรียบเรียงโดย กฤติยา วโรดม
แนะนำการเที่ยวบูโรพุทโธ
บุโรพุทโธ ตั้งอยู่ที่เมืองยอกยาการ์ต้า ในชวากลาง สภาพอากาศบนเกาะชวามี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน (พ.ค.-ต.ค.) และช่วงที่เหลือเป็นฤดูฝน ส่วนช่วงที่มรสุมชุกคือ ม.ค.-เม.ย. อีกช่วงหนึ่งที่ไม่เหมาะเดินทางท่องเที่ยว คือ ฤดูถือศีลอดของชาวมุสลิม ช่วงนั้นโรงแรมจะหายากและแพงกว่าปรกติด้วยค่ะ
ช่วงเวลาที่ควรเข้าชมบุโรพุทโธ ควรเป็นช่วงเช้าหรือเย็น ที่อากาศไม่ร้อนจนเกินไป ใช้เวลาราว 2-3 ชั่วโมง ชมบุโรพุทโธเสร็จ ก็ควรต่อด้วยวัดเมนดุท ซึ่งเป็นพุทธสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เน้นความพิเศษกว่าใคร ต้องไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่บูโรพุทโธ เป็นไฮไลท์เลยทีเดียว แต่ราคาค่าเข้าชมก็สูงกว่าช่วงปรกติมากด้วยเช่นกัน
คลิ๊กชม รายการทัวร์อินโดนีเซีย
หน่อโพธิ์ แทรเวล ให้บริการจัดทัวร์ท่องเที่ยวอินโดนีเซีย เมืองจาการ์ต้า บันดุง ยอกยาการ์ต้า บาหลี แบบเจาะลึก
ปรัมบานัน คู่แข่งบูโรพุทโธ
ปราสาทปรัมบานัน วัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างด้วยหินภูเขาไฟเช่นเดียวกับบูโรพุทโธ และก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกใน ปี ค.ศ. ๑๙๙๑ พร้อมกับบูโรพุทโธด้วย
หมู่ปราสาทแห่งนี้มีลักษณะคล้ายปราสาทในเมืองเขมร แต่ทว่ามีอายุเก่าแก่กว่านครวัดเสียอีก แท้จริงแล้วปราสาทขอมทั้งหลายก็เป็นการนำเอาสถาปัตยกรรมปราสาทแบบชวาไปต่อยอดนั่นเอง (พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ทรงถูกจับตัวมาอยู่ที่ชวาหลายปี และเมื่อได้รับการส่งกลับไปครองอาณาจักรกัมพุช จึงนำเอาขนบความเชื่อจากชวาไปใช้ที่อาณาจักรของพระองค์ด้วย)
หมู่ปราสาทแห่งนี้มีจารึกว่าสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าศรีสัญชัย (ราวค.ศ.๘๕๖ หรือ พ.ศ.๑๓๙๙) กษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์สัญชัย ครองอาณาจักรที่ชื่อว่า มะธะรัม บนตอนกลางของเกาะชวา การสร้างทำกันอย่างต่อเนื่องหลายรัชสมัย ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
วัดแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระศิวะ เพราะในเวลานั้นราชวงศ์สัญชัยนับถือพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไศว แต่กระนั้นก็นับถือเทพเจ้าองค์อื่นๆ ด้วย ปราสาทหลัก ๓ หลัง จึงอุทิศถวายมหาเทพทั้งสามคือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ โดยเทวาลัยสำหรับพระศิวะใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ตรงกลาง สูง ๔๗ เมตร (สูงกว่าบุโรพุทธโธ ๕ เมตร) ... เมื่อเราไปชมก็จะสังเกตเห็นเทวรูปของเทพหรือบริวารหรือพาหนะ ที่เกี่ยวข้องกับมหาเทพองค์นั้นๆ เช่น โคนนทิตั้งอยู่หน้าเทวาลัยพระศิวะ เป็นต้น
หมู่ปราสาทรายรอบมากถึง ๒๒๔ องค์
อาณาบริเวณโดยรอบยังมีปรางค์เล็กปรางค์น้อย รายล้อมอีกมากมายนับได้ถึง ๒๒๔ องค์ ภาพแกะสลักในบริเวณวัดส่วนใหญ่แสดงเรื่องรามยณะ และเรื่องราวของมหาเทพทั้งสาม รวมถึงศักติของพระองค์ และพระฤาษีอคัสตยะ (หมายเหตุ : พระฤาษีอคัสตยะทรงเป็นภาคหนึ่งของพระศิวะ ทรงเป็นครูของฤาษีและนำวิทยาการจากอินเดียเหนือมาสู่อินเดียใต้ จึงนับถือมากในอินเดียใต้ การที่พบประติมากรรมพระอคัสตยะจำนวนมากในชวาแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของศาสนาฮินดูในเกาะชวาว่าน่าจะมีพื้นฐานมาจากอินเดียใต้)
กษัตริย์แห่งวงศ์สัญชัย มีดำริจะสร้างพรัมบานันให้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้บูโรพุทโธ ที่สร้างโดยราชวงศ์ไศเรนทรก่อนหน้า เนื่องจาก ๒ ราชวงศ์นี้ ต่างแย่งกันเป็นใหญ่ ผลัดกันมีอำนาจเหนืออาณาจักรมะธะรัมในชวากลาง เมื่อใดที่ไศเรนทรขึ้นก็อุปถัมภ์พุทธเป็นการใหญ่ และเมื่อใดที่สัญชัยขึ้น ก็อุปถัมภ์พราหมณ์-ฮินดู อย่างเต็มที่เช่นกัน กระนั้นพระญาติหรือชายาของทั้งสองราชวงศ์ก็มีบ้างที่นับถือศาสนาต่างกัน ดังนั้นในบางรัชสมัยศาสนาทั้งสองจึงได้รับการอุปถัมภ์ควบคู่กันไป
(หมายเหตุ : ราชวงศ์ศรีวิชัยนั้น ก็เกิดขึ้นเพราะ วงศ์สัญชัย ทำสงครามชนะกษัตริย์บาลาบุตรา (Balaputra) แห่งวงศ์ไศเรนทร ทำให้ไศเรนทรต้องหนีไปตั้งหลักที่เกาะสุมาตรา และตั้งราชวงศ์ศรีวิชัยขึ้น )
ตำนานคู่ขนานของปรัมบานัน
คนพื้นเมืองเรียกขานวัดแห่งนี้ว่า วัดโรโรจงกรัง Roro Jonggrang Temple หมายถึง พรหมจรรย์" สืบเนื่องกับตำนานของอาณาจักร Pengging และ อาณาจักร Boko ที่ตั้งอยู่บนเกาะชวาเช่นกัน
เรื่องเล่ามีอยู่ว่า อาณาจักร Pengging มีความรุ่งเรือง ปกครองโดยกษัตริย์นามว่า Prabu Damar Moyo ส่วนอาณาจักร Bogo ปกครองโดยกษัตริย์นาม Prabu Boko ซึ่งมีเชื้อสายยักษ์ มีความเหี้ยมเกรียม ชอบกินเนื้อมนุษย์ แต่กษัตริย์องค์นี้ก็มีราชธิดาสวย นางชื่อว่า Roro Jonggrang ต่อมากษัตริย์ Boko ผู้เหี้ยมโหดก็ต้องการขยายอำนาจไปยังอาณาจักร Pengging จึงเกิดการสู้รบกัน กษัตริย์ของ Pengging ได้ส่งเจ้าชาย Bandung Bondowoso ออกศึก ด้วยพระปรีชา เจ้าชายชนะกษัตริย์ Boko ได้ แล้วยาตราเข้าสู่พระราชวังของกษัตริย์ Boko จึงได้พบกับเจ้าหญิง Roro Jonggrang เจ้าชายตกหลุมรักพระนางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ได้เอ่ยขออภิเษก แม้เจ้าหญิงจะปฏิเสธอย่างไร เจ้าชายก็ยืนกราน จนในที่สุดเจ้าหญิงจึงออกอุบายขอเงื่อนไข ๒ ข้อ (๑) จะต้องสร้างหลุมขนาดใหญ่ (๒) ต้องสร้างวัด ๑,๐๐๐ แห่งให้แล้วเสร็จภายในคืนเดียว
โอว!! ด้วยความเสน่หา เจ้าชายรับคำนาง เริ่มลงมือสร้างหลุมจนเสร็จ เรียกให้นางมาดู นางก็ออกอุบายให้เจ้าชายลงไปในหลุม จากนั้นก็โยนหินลงไป ฝังเจ้าชายให้ตายในนั้น แต่เจ้าชายก็เก่งแสนเก่ง หาทางหนีออกมาจากหลุมนั้นจนได้
ด้วยความรักหลงเสน่หา เจ้าชายจึงยอมยกโทษให้นาง จากนั้นก็เร่งลงมือสร้างวัด แต่จะทำได้ย่อมต้องอาศัยสิ่งลี้ลับช่วย เจ้าชายบวงสรวงบริกรรมขอวิญญาณต่างๆ มาช่วย จนการก่อสร้างจวนจะแล้วเสร็จ เหลือเพียงวัดสุดท้ายก็จะครบพัน เจ้าหญิงและคนรับใช้ ก็รีบไปสุมไฟในทุ่งข้าวด้านทิศตะวันออก เพื่อลวงให้คิดว่าเช้าแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น เมื่อพวกวิญญาณต่างๆ เห็นดังนั้น ก็คิดว่าสุริยเทพจะเสด็จแล้ว จึงพากันหนึหายไปกันหมด วัดแห่งสุดท้ายจึงไม่แล้วเสร็จ
... เมื่อเจ้าชายรู้ความจริง คราวนี้โกรธมาก สาปเจ้าหญิงให้กลายเป็นหินอยู่ที่วัดสุดท้ายแห่งนี้ ซึ่งก็คือ วัดพรัมบานัน และเจ้าหญิงที่กลายเป็นหินก็คือ เทวรูปพระแม่ทุรคา ในวิหารพระศิวะ (ความเชื่อของชาวบ้านที่เอามาผสมผสานกันกับเทวรูป)
วัดพันแห่งที่เจ้าชายสร้างนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ วัดเซวู ซึ่ง Sewu แปลว่า หนึ่งพัน
บทความเกี่ยวข้อง
- ชวา
- หน้ารวมบทความ