ข่าวเกี่ยวกับการโกงทัวร์ มีมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ปลาเน่าไม่กี่ตัว ก็ทำให้เหม็นไปทั้งข้อง ในฐานะผู้ประกอบการก็เหนื่อยหน่าย ในฐานะนักท่องเที่ยวก็กลัวจนเกร็งไปหมด แล้วจะตัดสินใจเลือกซื้อทัวร์อย่างไรดีล่ะ จึงจะลดความเสี่ยงได้มากที่สุด เรามีคำแนะนำ ลองพิจารณาดูนะคะ

1. รู้จักประเภทของทัวร์ 

2. เลือกสไตล์หรือรูปแบบของทัวร์ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา 

3. อย่ารีบคว้าเพราะราคาถูก อย่าตุนไว้หลายๆ ทริป เพราะว่าได้โปร

ทัวร์ถูกเดินทางได้จริงก็มี แต่ที่เอามาหลอก มายั่วให้เชื่อแล้วโกงในครั้งต่อไป ก็เห็นมาเยอะแล้ว อาจจะไม่ง่ายที่จะรู้ แต่ก็พอจะมีเกณฑ์ให้พิจารณาได้บ้าง

4. สละเวลาศึกษา อ่านรายละเอียดทัวร์และเงื่อนไขให้ดี เปรียบเทียบทัวร์ให้เป็น

5. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินทาง เลือกซื้อทัวร์ได้อย่างดีแล้ว แต่ถ้าตัวเราขาดความพร้อมก็ไม่สนุกนะคะ

รายละเอียดของแต่ละหัวข้ออยู่ด้านล่าง หวังว่าคำแนะนำเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะคะ

ประเภทของทัวร์ อาจแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ 

1. ทัวร์เน้น ถ่ายรูป ช้อปปิ้ง เช็คอินคาเฟ่ เป็นหลัก ไม่ต้องการข้อมูลเนื้อหาอะไรมาก
2. ประเภท ผจญภัย เดินป่า ขึ้นเขา แคมป์ปิ้ง อันนี้ก็สายหนักไปเลย
3. ทัวร์ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน แบบครีมๆ เน้นๆ แทบทั้งทริปมีแต่แคะแกะเกาปราสาท วัด วัง ต้องคนสายอินจริงๆ ให้เวลาถ่ายรูปน้อย ต้องเดินตามวิทยากร และอาจฟังไม่ทัน ไม่เข้าใจ เพราะเนื้อหาค่อนข้างลึก
4. สายบุญ สายมู แบบนี้ก็ให้เวลาด้านบันเทิงน้อย หมดไปกับพิธีกรรมเสียมาก และมักเดินทางเป็นคณะใหญ่ 1-2 รถบัสเป็นอย่างน้อย
5. สายอีโค เน้นธรรมชาติ ป่าเขา ชุมชน เช่นกัน แต่เบากว่าสายผจญภัย
6. สายผสมผสาน คือ รวมเอาทุกแบบข้างต้นมาไว้ด้วยกันอย่างละนิดละหน่อย หน่อโพธิ์ แทรเวล ก็อยู่ในกลุ่มนี้ค่ะ โดยแต่ละทริปจะจัดสัดส่วนแตกต่างไปตามความเหมาะสมของสถานที่ท่องเที่ยว 

เมื่อรู้เขาแล้ว ก็ต้องรู้ตัวเราว่า มีความชอบแบบใด และมีสุขภาพที่สอดคล้องกับความชอบหรือไม่ ประเมินให้ดี อย่าหลอกตัวเอง ทัวร์ที่จริงใจเขาจะช่วยแนะนำและประเมินให้ได้ว่า เราเหมาะกับทัวร์นั้นๆ หรือไม่

รู้ประเภทแล้วยังไม่พอ เพราะมีเรื่องของสไตล์หรือรูปแบบเข้ามาอีก

อ่านต่อ นะคะ ...

เลือกสไตล์หรือรูปแบบของทัวร์ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา ข้อที่ควรพิจารณาคือ

1. เดินทางด้วยเครื่องบินหรือรถ บินภายในประเทศด้วยหรือไม่ แม้จะช่วยประหยัดเวลา เหนื่อยน้อยลง แต่ก็ทำให้ราคาสูงขึ้นด้วย
2. พักโรงแรมระดับใด อาจไม่จำเป็นต้องพักระดับ 5 ดาว หรือ 4 ดาว เสมอ ขึ้นอยู่กับเมืองที่ไปเที่ยว บางเมืองโรงแรมระดับ 3 ดาว ก็มีคุณภาพดีทีเดียว และยังขึ้นอยู่กับสไตล์ บางโรงแรมเป็นแค่ 2 ดาว แต่ดีมาก ราคาสูง เพราะเป็น Heritage อยู่ในย่านสำคัญ การพักโรงแรม 5 ดาว แต่ถึงโรงแรมค่ำมืดได้แค่นอน เช้าขึ้นต้องรีบตื่นนั่งรถออกเที่ยวต่อ อาจไม่คุ้มกับราคาที่ต้องจ่ายมากกว่า
3. มีอาหารบริการหรือไม่ บางครั้งการที่ทัวร์มีโปรแกรมให้ท่านเดินสำรวจชิมช้อปเอง ในย่านศูนย์กลางของเมือง เช่น ไชน่าทาวน์ ถนนคนเดิน ก็จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยว ทำให้ได้สัมผัสถึงสีสันของเมืองยิ่งขึ้น
4. พาหนะที่ใช้เป็นอย่างไร รถบัส รถตู้ หรือ รถไฟ ถ้าเป็นรถบัสหรือรถตู้ทัวร์มักจะให้สิทธิผู้ที่วางเงินจองก่อน เลือกที่นั่งก่อน หรือบางครั้งก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเล็กน้อยสำหรับที่นั่งในบางตำแหน่ง ส่วนรถไฟ หากเป็นรถนอนชั้นสองภายในประเทศ ผู้เดินทางควรจับคู่ เพื่อได้แบ่งกันเลือกเตียงบนหรือเตียงล่าง เป็นต้น
5. กรณีนั่งรถไฟความเร็วสูงในต่างประเทศ ควรสอบถามให้ละเอียดว่า ต้องลากกระเป๋าขึ้นรถไฟเอง หรือมีรถบัสขนกระเป๋าไปส่งให้ที่ปลายทาง เพราะหากเป็นนักท่องเที่ยวสูงวัย ไม่แนะนำให้ลากกระเป๋าเอง
6. เวลาที่ออกเดินทาง และเวลากลับถึงปลายทาง หากเช้าตรู่หรือดึกเกินไป ก็จะส่งผลต่อร่างกาย ให้ปรับเวลาไม่ได้ แทนที่จะได้เที่ยวสนุก กลับต้องเพลีย หลับตลอดทาง หรือไม่ก็อาจถึงกับเจ็บป่วย ไม่ได้เที่ยวอย่างที่ตั้งใจเลยก็มี 

เกณฑ์ทั่วๆ ไปที่ใช้พิจารณาว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้แก่

1. ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวยังไม่หมดอายุ ท่านสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ 

   กรมการท่องเที่ยว - Department of Tourism (dot.go.th)

2. เป็นทัวร์ที่มีสมาคมด้านการท่องเที่ยวรับรอง อย่างน้อยการมีตัวตนในสังคมการท่องเที่ยว ก็แสดงว่าไม่ใช่ไอ้โม่ง
3. มีเวปไซต์ เฟสบุ๊ค และควรตรวจสอบว่า มีการเปลี่ยนชื่อเฟสบุ๊คมาก่อนหรือไม่ บ่อยครั้งหรือไม่
4.  มีการรีวิว หรือภาพทัวร์ที่ผ่านมา  
   
5. มีที่ตั้งที่ถาวร ตรวจสอบว่าตั้งอยู่สถานที่นั้นมานานเท่าใดแล้ว หากเป็นสำนักงานเช่าตามคอนโด อาคารพาณิชย์ หรือห้างสรรพสินค้า ที่บริษัททัวร์นั้นไม่ใช่เจ้าของอาคารโดยตรง ก็ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะคัดกรองตามเกณฑ์ข้างต้นแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน ดังนั้นเราควรพิจารณาจากพฤติกรรมเพิ่มเติม ซึ่งเป็นตัวชี้ถึง "ทัวร์ที่ควรกลัวไว้ก่อน" ได้แก่

1. จัดโปรบ่อยมาก ด้วยต่างเวลาต่างเหตุผล รายการที่แล้วยังไม่ได้เดินทาง แต่ออกรายการใหม่มาเรื่อยๆ เชิญชวนและเร่งรัดให้ชำระเงิน โดยมีทัวร์ที่รอออกเดินทางอยู่เป็นจำนวนมาก
2. โปรโมชั่นไม่สมเหตุสมผล เช่น โปรโมชั่นวันครอบครัว แต่ให้พาใครไปก็ได้ ขออย่างเดียวต้องรีบจ่ายเงินภายในวันนี้ วันนั้น
3. เชิญชวนให้คุณซื้อทัวร์ราคาถูก โดยชำระเงินมัดจำล่วงหน้านานๆ บางทีขายทัวร์ข้ามปี (การชำระเงินจองล่วงหน้า 4-5 เดือน ก็ถือว่านานพอสมควรแล้ว)
4. เซลล์ หรือเจ้าของทัวร์ ออกอาการหงุดหงิดที่คุณไม่ยอมตัดสินใจซื้อโปร
5. ระหว่างออกทัวร์มีปัญหาเรื่องพาหนะ โรงแรม ร้านอาหาร ด้วยเหตุของการไม่ได้ชำระเงินแก่ผู้ประกอบการเหล่านั้น
6. ลักษณะข้างต้นนี้ ให้กังวลไว้ก่อนว่า ทัวร์นั้นอาจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง และก็เป็นไปได้ที่จะทิ้งทัวร์ในเวลาต่อไป

หลายท่านมักมีปัญหาในการเลือกทัวร์ ทัวร์รายการคล้ายๆ กัน แต่จำนวนวันต่างกัน ราคาต่างกัน หรือช่วงการเดินทางต่างกัน ควรเลือกอย่างไรดี

1. อันดับแรกต้องยอมสละเวลาศึกษาโปรแกรม และพิจารณาตามรูปแบบหรือสไตล์ของทัวร์ ตามที่บอกไว้ข้างต้น
2. ดูให้ดีถึงค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มนอกจากค่าทัวร์ บางทัวร์ไม่รวมค่าโน่นค่านี่ ที่มักเขียนไว้ตอนท้ายโปรแกรม เช่น ค่าวีซ่า ค่าทิป ค่ากระเช้า ค่าลิฟท์ขึ้นสถานที่ท่องเที่ยว ค่าม้า ลา อูฐ ฯลฯ  เมื่อรวมค่าพวกนี้เข้าไปแล้วอาจราคาสูงกว่าทัวร์ที่เราคิดว่าแพงกว่าก็ได้
3. จำนวนสถานที่ท่องเที่ยว บางทัวร์เขียนจนดูเหมือนเยอะแยะมาก แต่ที่จริงแล้วเป็นสถานที่ในย่านเดียวกัน ที่สามารถนั่งรถผ่านชม หรือเดินชมได้ในคราวเดียวกัน โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ดังนั้นถ้าท่านศึกษาเส้นทาง หรือสอบถามทัวร์ที่ไม่ได้ระบุรายการแบบนั้นไว้ ท่านก็จะได้ข้อมูลชัดเจนว่า เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
4. ราคาถูกกว่า อาจเกิดจากจำนวนวันที่น้อยกว่า ซึ่งมาจากการประหยัดต้นทุน จึงเร่งรัดเที่ยว เร่งรัดเดินทาง ออกแต่เช้าตรู่-กลับถึงโรงแรมดึก เที่ยวแต่ละที่สั้นๆ นั่งรถระยะยาวๆ ส่งผลให้ท่านเที่ยวแบบเหนื่อย และไม่คุ้มค่ากับการเดินทางไปสักครั้ง เพราะเราคงไม่เที่ยวที่เดิมซ้ำกันสักเท่าไร
5. เส้นทางเดียวกัน แต่หากทัวร์นั้นแบ่งซอยระยะการท่องเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้จำนวนวันมากขึ้น ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นบ้าง แต่จะทำให้อิ่มเอมกับการท่องเที่ยว คุ้มค่ากว่า และเหนื่อยน้อยกว่า
6. การเดินทางไปชมเทศกาลสำคัญ ย่อมมีราคาสูงกว่าปรกติ แต่ไม่แน่ว่าจะสะดวกสบาย หรือเต็มที่ได้เหมือนช่วงปรกติ เพราะคนท้องถิ่นจำนวนมากก็มาเที่ยวเช่นเดียวกับเรา  
   
7. ฤดูกาลมีผลต่อราคา หากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของเมืองนั้น หรือที่เรียกว่าช่วงไฮ สภาพอากาศดี ดอกไม้สวย ก็ย่อมราคาสูงกว่า ช่วงโลว์ ที่อาจจะสภาพอากาศขมุกขมัว ฝนโปรยปรายตลอด แต่ทั้งนี้ต้องดูพื้นที่ด้วยนะคะ บางพื้นที่มีสภาพอากาศแบบฝนโปรยทั้งปีก็มี เช่น เกาะต่างๆ
8. การเดินทางช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ของไทย ย่อมมีราคาสูงกว่าช่วงวันธรรมดา

• หากมีเวลาควรหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวไว้ด้วย จะทำให้การท่องเที่ยวเพลิดเพลินและมีความหมายยิ่งขึ้น
• ก่อนถึงเวลาเดินทาง 7-10 วัน ควรถนอมตัว ระมัดระวังไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น
• เตรียมจัดกระเป๋าเสื้อผ้าแต่เนิ่นๆ เพราะส่วนใหญ่มักจะจัดของไม่ครบในครั้งเดียว นึกอะไรได้ก็หยิบใส่ไว้ หรือโน้ตไว้ จะได้ไม่หลงลืม และควรจัดเสื้อผ้าให้เหมาะกับโปรแกรมการท่องเที่ยวในแต่ละวัน 

    - ควรเตรียมปลั๊กไฟให้ถูกชนิดกับประเทศที่เราจะไป หรือใช้ปลั๊กไฟแบบ international ที่ใช้ได้ทุกประเทศ

    - รางปลั๊กต่อ นี่ก็สำคัญ บางโรงแรมมีหัวปลั๊กให้น้อยนิด ไม่พอใช้

    - ไดร์เปาผม ขนาดพกพา หากในห้องพักไม่มี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียอารมณ์ไปขอยืมที่ฟร้อนต์ บางทีในต่างประเทศสื่อสารกันไม่รู้เรื่องอีก บางครั้งในเวปไซต์ของโรงแรมบอกว่ามี แต่พอไปจริงถอดออกไปแล้วก็มี

    - หมวกคลุมผมอาบน้ำ สำคัญสำหรับคุณผู้หญิง เดี๋ยวนี้หลายโรงแรมยกเลิกวางไว้บริการ เพื่อภารกิจลดโลกร้อน หากต้องการอาจต้องขอเป็นกรณีไป ดังนั้น หากเรานำไปเองจะสะดวกมากกว่า

    - ครีมนวดผม โรงแรมส่วนใหญ่มีแต่แชมพูให้ ไม่มีครีมนวดผม

    - Cotto Bud หลายโรงแรมก็ยกเลิกวางไว้บริการเช่นกัน

    - ปลอกหมอน หรือ ผ้าคลุมหมอน สำรองไว้กรณีที่เราไม่มั่นใจในความขาวสะอาดของปลอกหมอนโรงแรม

     - ผ้าเช็ดผม หรือผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก บางโรงแรมมีแต่ผ้าขนหนูผืนใหญ่ หากคุณชอบใช้ผืนเล็กเช็ดผม แนะนำให้เตรียมไปเองจะสะดวก และเอาไว้สำรองกรณีที่ไม่มั่นใจในความขาวสะอาดของผ้าเช็ดตัวของโรงแรม

     - ไม้แขวนเสื้อ หากพักต่อเนื่องหลายคืนแล้วอยากเอาเสื้อผ้าออกมาแขวนไว้ไม่ให้ยับ จำนวนไม้แขวนในตู้เสื้อผ้าของโรงแรมอาจไม่เพียงพอ

    - จัดกระเป๋าให้หลวมไว้หน่อย หรือมีกระเป๋าสำรองไปด้วย เพราะการช้อปปิ้งกับการท่องเที่ยวเป็นของคู่กัน ขากลับกระเป๋าของคุณต้องหนักกว่าขาไปแน่นอน ระวังเรื่องหนักเกินอัตราด้วยนะคะ หากไม่แน่ใจ ให้ซื้อน้ำหนักล่วงหน้าทางออนไลน์ไว้เลย การไปซื้อเพิ่มหน้าเคาน์เตอร์แพงมาก

    - หากเที่ยวภายในประเทศ แทนที่จะซื้อน้ำหนักกระเป๋าเดินทางเพิ่ม เปลี่ยนเป็นเอานน้ำหนักส่วนเกินแพคพัสดุส่งทางไปรษณีย์กลับมา จะประหยัดกว่าเยอะเลย

    - ที่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าขนาดพกพา จะช่วยคุณควบคุมการช้อปปิ้ง หรือวางแผนซื้อน้ำหนักก่อนกลับได้อย่างดี

• สิ่งที่ห้ามนำไปด้วย ปรกติทัวร์จะออกใบเตรียมตัวเดินทางให้แก่ท่านล่วงหน้า 7-10 วัน และจะบอกรายการเหล่านั้นไว้ โดยทั่วไปได้แก่

   - ห้าม พาวเวอร์แบงค์ และแบตเตอรี่ทุกชนิด รวมถึงถ่านไฟฉาย และถ่านวิทยุ (หากเก็บตัวเครื่องอยู่ในกระเป๋าโหลดก็ต้องนำถ่านออกมาก่อน) แบตเตอรี่โทรศัพท์ ล้วนห้ามนำใส่กระเป๋าเดินทางโหลดใต้เครื่องทุกกรณี

   - ส่วนแบตเตอรี่หรือพาวเวอร์แบงค์ที่ใส่กระเป๋าติดตัวถือขึ้นเครื่องบินได้ ต้องมีความจุของพลังไฟไม่เกิน 32,000 MaH หรือ 100-160 WH นำขึ้นเครื่องได้ไม่เกินคนละ 2 ก้อน

   - ของมีคม และ ของเหลวทุกชนิดหากมีปริมาณเกิน 100 ml ต้องโหลดใต้ท้องเครื่องบินเท่านั้น และเจ้าหน้าที่จะดูที่สลากนะคะ ไม่ดูที่ปริมาณเหลือ หมายถึง หากสลากระบุ 200 ml แม้ในขวดจะเหลือไม่ถึงครึ่ง ก็ไม่ได้

• ปัจจุบันประเทศไทย ห้ามนำอาหารสด ผลไม้ เข้า-ออก จากประเทศทุกกรณี ใครที่เคยซื้อผลไม้สดจากต่างประเทศกลับบ้านเมื่อในอดีต เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้วนะคะ